นายอะหมัด หลีขาหรี
ผู้รับผิดชอบโครงการวิทยาลัยทุ่งโพ
เรียนรู้ร่วมกัน ร่วมสร้างสรรค์ชุมชนน่าอยู่
สถานการณ์ชุมชน
เวลาประมาณ ๐๒.๐๐ น. ของคืนวันที่ ๑๕
พฤษภาคม ๒๕๕๕ เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางเพลิงศาลาประจำหมู่บ้าน บ้านแคเหนือ
หมู่ที่ ๒ ตำบลแค อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ได้รับความเสียหายทั้งหลัง
ซึ่งจุดที่ถูกเผาเป็นจุดที่มีการจัดงานเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง เมื่อวันที่ ๑๔
พฤษภาคม ๒๕๕๕
เหตุการณ์ดังกล่าว
ก่อให้เกิดกระแสความขัดแย้งขึ้นในชุมชน เนื่องจากในชุมชนมีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วย
และไม่เห็นด้วยกับการจัดกิจกรรมดังกล่าว
รวมไปถึงกลุ่มที่ไม่พอใจกับการลอบวางเพลิงศาลาประจำหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของชุมชน
เมื่อความขัดแย้งใหม่จากการเมืองใหญ่เริ่มก่อตัว บวกกับทุนเดิมอย่างความขัดแย้งจากการเมืองท้องถิ่น
จึงสะท้อนให้เห็นแนวโน้มวิกฤติความขัดแย้งที่น่ากลัว
แต่ในขณะเดียวกัน
วิกฤติดังกล่าวกลับสร้างโอกาสให้เกิดการพูดคุยของกลุ่มคนที่เป็นห่วงสถานการณ์ปัญหาของชุมชน
และเป็นที่มาของการเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้โครงการร่วมสร้างชุมชนน่าอยู่
จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ในนามโครงการ
“วิทยาลัยทุ่งโพ เรียนรู้ร่วมกัน ร่วมสร้างสรรค์ชุมชนน่าอยู่”
โครงการวิทยาลัยทุ่งโพ ฯ มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ
คือ เพื่อให้คนในชุมชนอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสามัคคี เสียสละ
มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองและผู้อื่น โดยอาศัยทุนของชุมชน
เพื่อสร้างความมั่นคงของชีวิต
โจทย์สำคัญอันดับแรกของโครงการ คือ
ทำอย่างไรจึงจะสามารถรวมคนให้มาร่วมกันคิด ร่วมกันพูดคุย ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในชุมชน
เพื่อตอบโจทย์ข้อนี้ ทางคณะทำงานของโครงการ
จึงเลือกใช้ “นูหรี”
ประเพณีดั้งเดิมของชุมชน เป็นเครื่องมือสำคัญในการรวมคน
คำว่า
“นูหรี” หมายถึง ประเพณีงานบุญของชุมชน
มีกิจกรรมสำคัญ คือ การจัดเลี้ยงอาหารและร่วมกันขอพร โดยการเชิญคนในชุมชนมารับประทานอาหาร
จัดได้ทั้งในรูปแบบปัจเจกบุคคลเป็นเจ้าภาพหรือในระดับชุมชน โดยแขกที่ได้รับเชิญต้องตอบรับคำเชิญซึ่งถือเป็นมารยาท
ผู้เข้าร่วมที่เป็นผู้หญิงหรือแม่บ้านจะช่วยกันประกอบอาหารจากวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่เจ้าภาพเตรียมไว้
ในช่วงเวลาระหว่างการประกอบอาหาร ช่วงรับประทานอาหาร
และภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมก็จะมีการพูดคุย ถามสารทุกข์สุขดิบ ปรึกษาหารือ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในลักษณะวงพูดคุยตามธรรมชาติ
ปัจจัยเอื้อ/ปัจจัยสาเหตุ
ชุมชนบ้านแคเหนือ
มีปัจจัยเอื้อสำคัญที่ถือเป็นทุนตั้งต้นในการขับเคลื่อนงานของชุมชน คือ
การทำงานร่วมกันของผู้นำชุมชน ทั้งกำนัน
นายกองค์การบริหารส่วนตำบล อีหม่าม ผู้นำศาสนา
ปราชญ์ชาวบ้าน และแกนนำชุมชน มีการประชุมและปรึกษาหารือกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
ทำให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนสูง ในขณะเดียวกัน
ปัจจัยสาเหตุสำคัญของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น คือ
คนในชุมชนขาดเวทีในการสื่อสาร พูดคุย และทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ขาดกลไกในการรวมคนเพื่อร่วมกันคิดเพื่อแก้ไขปัญหาในชุมชน
และขาดบรรยากาศที่ดีในการพูดคุยในรูปแบบกัลยาณมิตร
หลักคิดในการดำเนินงาน
โครงการวิทยาลัยทุ่งโพฯ
ดำเนินงานภายใต้หลักคิดของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.
ในการขับเคลื่อนโครงการร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นให้น่าอยู่ ที่เรียกว่า “สมการสร้างชุมชนน่าอยู่” คือ
ผู้นำพร้อม + ชุมชนพร้อม + ความรู้พร้อม =
ชุมชนน่าอยู่ บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า
การสร้างชุมชนให้น่าอยู่ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ ๓ ประการ คือ (๑) ผู้นำพร้อม
หมายถึง การมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนา และได้รับการยอมรับจากชุมชน (๒)
ชุมชนพร้อม หมายถึง คนในชุมชนพร้อมให้ความร่วมมือกับผู้นำในการพัฒนาชุมชน และ (๓)
ความรู้พร้อม หมายถึง การมีข้อมูล ความรู้ และทักษะ
วิธีการ/กระบวนการ
กระบวนการทำงานของโครงการวิทยาลัยทุ่งโพ
ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ ๗ ขั้นตอน คือ
๑) การเปิดตัวโครงการ เพื่อชี้แจงการดำเนินการโครงการให้คนในชุมชนทราบ
ร่วมกันกำหนดบทบาทในการมีส่วนร่วมกับโครงการของคนในชุมชนว่าจะมีบทบาทและมีส่วนร่วมกับโครงการในช่วงเวลาไหน
อย่างไร
๒)
การจัดกิจกรรมสานเสวนา
จำนวน ๕ ครั้งกับ ๕ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มผู้นำชุมชน
และผู้นำศาสนา กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มตัวแทนองค์กรชุมชน
โดยการสานเสวนาทั้ง ๕ ครั้ง
เป็นการพูดคุยเพื่อค้นหาทุนชุมชนร่วมกัน ผ่านการตอบคำถามที่ว่า
“อะไรที่ทำให้บ้านแคเหนือน่าอยู่” และการค้นหาสถานการณ์ปัญหาชุมชนร่วมกัน
ผ่านการตอบคำถามที่ว่า “อะไรที่ทำให้บ้านแคเหนือไม่น่าอยู่
๓) การจัดกิจกรรมเวทีสุขภาวะบ้านแคเหนือ เป็นกระบวนการในการคืนข้อมูลให้กับชุมชนผ่านการจัดนิทรรศการและการให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับทุนชุมชน
และสถานการณ์ปัญหาชุมชน ซึ่งได้มาจากกิจกรรมสานเสวนาทั้ง ๕ ครั้ง จากกิจกรรมการสานเสวนา
พบว่า ทุนชุมชนที่สำคัญของชุมชน ได้แก่
๑.) การมีองค์กรศาสนาที่เข้มแข็ง
โดยการมีมัสยิดมะวาย์เป็นศูนย์กลางของชุมชน มีโรงเรียนมะวาย์วิทยาเป็นสถานศึกษาและอบรมคุณธรรม
จริยธรรมแก่เยาวชนในชุมชน มีปอเนาะทุ่งคำ เป็นสถาบันที่สั่งสอน อบรม และขัดเกลาเยาวชนให้เป็นคนดี
ดำเนินชีวิตตามหลักการศาสนา และสร้างผู้นำทางศาสนาแก่ชุมชน
๒.) มีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์
โดยการมีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งแหล่งน้ำ สวน ป่า และทุ่งนา มีทุ่งคำ
เป็นอู่ข้าว อู่น้ำ และฐานทรัพยากรทางธรรมชาติที่สำคัญของชุมชน
๓.) มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและมีวิถีชีวิตที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
โดยการมีประวัติศาสตร์ที่เป็นรากฐานของชุมชน
และมีวิถีชีวิตที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
๔.)
มีผู้นำและชาวบ้านที่มีความพร้อม
โดยการมีผู้นำที่ได้รับการยอมรับ
และมีชาวบ้านที่พร้อมให้ความร่วมมือและเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน
๕.) มีกลุ่มองค์กรชุมชนที่เข้มแข็ง
โดยการมีกลุ่มองค์กรชุมชนที่ประสานความร่วมมือกัน และทำงานเพื่อประโยชน์ของชุมชน
และจากกิจกรรมการสานเสวนา พบว่า สถานการณ์ปัญหาที่สำคัญของชุมชน
ได้แก่
๑.) ปัญหายาเสพติด
เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นตัวทำลายศักยภาพเยาวชน
และบั่นทอนความเข้มแข็งของชุมชน
๒.)
ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ที่ก่อให้เกิดมลภาวะในชุมชน
๓.) ปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ที่สร้างความหวาดระแวงต่อกัน และบั่นทอนความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินของคนในชุมชน
๔.)
ปัญหาขาดสถานที่ออกกำลังกายและพื้นที่สร้างสรรค์
ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมสุขภาพชุมชน
๕.)
ปัญหาความขัดแย้ง
ที่บั่นทอนพลังความร่วมมือในการพัฒนาชุมชน
๔)
การจัดทำหลักสูตร โดยการวิเคราะห์ทุนชุมชน
และสถานการณ์ปัญหาชุมชนของผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และปราชญ์ชาวบ้าน
แล้วสังเคราะห์เป็นหลักสูตรสำหรับการเรียนรู้ร่วมกันของคนในชุมชน โดยหลักสูตรที่จัดทำขึ้นมีทั้งหมด
๕ หลักสูตร ได้แก่
๑.
หลักสูตรครอบครัวอิสลาม
มีเป้าหมายในการสร้างความเข้มแข็งแก่สถาบันครอบครัว
เพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชน เป็นเกราะป้องกันยาเสพติด
เรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมายอิสลาม บทบาทสมาชิกในครอบครัว
สิทธิและหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว
และบทบาทของครอบครัวในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
๒. หลักสูตรการจัดการขยะ
มีเป้าหมายในการจัดการขยะ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมเรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับขยะ
การจัดการขยะ และการใช้ประโยชน์จากขยะ
๓. หลักสูตรประวัติศาสตร์ชุมชน
มีเป้าหมายในการศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจและความภาคภูมิใจต่อรากฐานและความเป็นมาของชุมชน
เรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชุมชน บุคคลสำคัญในอดีต สถานที่สำคัญ
และเหตุการณ์สำคัญในอดีต
๔. หลักสูตรฟัรดูกิฟายะห์
มีเป้าหมายในการเรียนรู้ฟัรดูกิฟายะห์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้จิตอาสาและการพึ่งพาอาศัยกัน
เรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับฟัรดูกิฟายะห์ในชีวิตประจำวัน และขั้นตอนการจัดการศพ
๕.
หลักสูตรสิทธิ มีเป้าหมายในการเรียนรู้เรื่องสิทธิ
เพื่อการปกป้องสิทธิของตนเองและผู้อื่น เรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับสิทธิชุมชน
สิทธิเพื่อนบ้าน และสิทธิมุสลิมต่อมุสลิม
๕)
จัดทำสื่อประกอบหลักสูตร
โดยการจัดทำสื่อสำหรับใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร ตัวอย่างสื่อที่จัดทำขึ้น
เช่น เอกสารประกอบหลักสูตร โมเดลบ่อหมักแก๊สชีวภาพ เป็นต้น
๖)
จัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร โดยการจัดกิจกรรมบรรยายให้ความรู้
การสาธิต และการลงมือปฏิบัติตามความเหมาะสมของหลักสูตร
๗)
พัฒนาหลักสูตร ปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร และการขยายผล โดยการปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้
มีความสมบูรณ์มากขึ้น
และขยายผลสู่การปฏิบัติในรูปแบบข้อตกลงร่วมกันของสมาชิกในชุมชน
๑.)
การขยายผลหลักสูตรฟัรดูกิฟายะห์(จิตอาสา) ด้วยการมีข้อตกลงร่วมกันว่า
หากมีสมาชิกในชุมชนเสียชีวิต ให้ร่วมกันอาสาจัดการศพตามหลักการอิสลาม
ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่ การอาบน้ำศพ การห่อศพ การละหมาดศพ
และการฝังศพ
๒.)
การขยายผลหลักสูตรการจัดการขยะ
ด้วยการส่งเสริมการคัดแยกขยะและการจัดทำบ่อหมักแก๊สชีวภาพในครัวเรือน
โดยครัวเรือนใดที่ต้องการทำบ่อหมักแก๊สชีวภาพ
จะมีวิทยากรจากทางโครงการคอยให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือ
๓.)
การขยายผลหลักสูตรประวัติศาสตร์ชุมชน ด้วยการรวบรวมข้อมูล และจัดทำเอกสารนำเสนอข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของชุมชน
บุคคลและสถานที่สำคัญของชุมชน และภูมิปัญญาของชุมชน และการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน
บ้านแคเหนือ
ผล/คุณค่าจากการดำเนินงาน
๑.
เกิดความรู้และนวัตกรรมชุมชน จากการพัฒนาและจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร
จำนวน ๕ หลักสูตร ทำให้คนในชุมชนเกิดความรู้และทักษะในหลายด้าน และวิทยาลัยทุ่งโพฯ
เป็นแหล่งเรียนรู้ใหม่ของชุมชน
๒.
เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เอื้อต่อสุขภาพ จากการให้บริการตรวจวัดความดันโลหิต
วัดระดับน้ำตาลในเลือด วัดส่วนสูง ชั่งน้ำหนัก
และให้คำแนะนำด้านสุขภาพแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเวทีสุขภาวะบ้านแคเหนือและการเรียนรู้ตามหลักสูตร
โดยกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ทำให้คนในชุมชนมีโอกาสได้ทราบข้อมูลสุขภาพของตนเอง
ส่งผลให้เกิดความตระหนักในการดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
๓. การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ จากการกำหนดให้พื้นที่จัดกิจกรรมเป็นพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่
เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลด ละ เลิกบุหรี่ เนื่องจากทุกครั้งที่มีการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก
ส่งผลให้ผู้สูบบุหรี่ที่เข้าร่วมกิจกรรมลดการสูบบุหรี่ลง ในช่วงเวลาที่จัดกิจกรรมประมาณ
3-4 ชั่วโมง
๔. การพัฒนานโยบายสาธารณะที่เอื้อต่อสุขภาวะ จากการเรียนรู้หลักสูตรฟัรดูกิฟายะห์(จิตอาสา)
ก่อให้เกิดข้อตกลงร่วมของชุมชน เรียกว่า “ธรรมนูญชุมชนบ้านแคเหนือ พ.ศ. ๒๕๕๘”
๕.
เกิดกระบวนการชุมชน จากการเรียนรู้ตามหลักสูตรนำมาสู่การปฏิบัติจริง
ผ่านการจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครขึ้น จำนวน ๕ กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มอาสาสมัครเฝ้าระวังและป้องกันยาเสพติด
กลุ่มอาสาสมัครยุวดาอีย์ กลุ่มอาสาสมัครส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กลุ่มอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ
และกลุ่มอาสาสมัครมัคคุเทศก์อาสา
มีการรวมตัวเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายอาสาสมัครชุมชนบ้านแคเหนือ
พร้อมกับการสร้างแหล่งเรียนรู้ในชุมชน เช่น พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน บ่อหมักแก๊สชีวภาพ
บ่อนาซีเมนต์ เป็นต้น
๖.
มิติสุขภาวะทางปัญญาและจิตวิญญาณ จากการสานเสวนาและการเรียนรู้ตามหลักสูตร
ทำให้คนในชุมชนเกิดการเรียนรู้ถึงคุณค่าของทุนชุมชน ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ รัก
และหวงแหนชุมชน เห็นสมดุลระหว่างประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตน เรียนรู้การพึ่งตนเอง
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และพอเพียง รู้จักการให้อภัยและการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
การขยายผล
จากการทำงานอย่างต่อเนื่องของกลุ่มและเครือข่ายอาสาสมัครชุมชนบ้านแคเหนือ
ทำให้ในเวลาต่อมา มีการเชื่อมประสานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและนอกพื้นที่
มีการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วม หรือ MOU ระหว่างองค์การบริหารส่วนตำบลแค
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแค และมัสยิดมะวาย์ในการให้การสนับสนุน ทั้งในด้านงบประมาณและองค์ความรู้แก่กลุ่มอาสาสมัครที่ดำเนินงานเกี่ยวข้องกับแผนงานขององค์กร
นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกรมการท่องเที่ยว
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ผ่านการจัดงานของดีบ้านแคเหนือ
ซึ่งจัดผ่านมาแล้ว ๒ ครั้ง ในปี ๒๕๕๗ และ ๒๕๕๘
ปัจจุบัน ชุมชนบ้านแคเหนือเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้
ที่พร้อมต้อนรับคณะศึกษาดูงาน ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผ่านการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพโดยคณะทำงานของวิทยาลัยทุ่งโพ
ฯ โดยมีองค์การบริหารส่วนตำบลแค
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแค และมัสยิดมะวาย์
เป็นภาคีเครือข่ายหลักในการให้การสนับสนุน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น